วันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

แนะนำ...การเพาะเมล็ดมะค่าโมง [เบื้องต้น]

แนะนำ...การเพาะเมล็ดมะค่าโมง [เบื้องต้น]


เท่าที่ทางผู้เขียนได้จัดทำเว็บบล๊อกเกี่ยวกับ มะค่า มะค่าโมง มะค่าแต้ เมล็ดมะค่า แห่งนี้ขึ้นมารวมถึงจากการที่ได้ลองๆค้นหาข้อมูลโดยเฉพาะคำถามข้อสงสัยมากมายเกี่ยวกับมะค่าโมง และ มะค่าแต้นั้น พบว่าคำถามที่ทุกคนให้ความสนใจและอยากทราบคำตอบหรือแนวทางเป็นอันดับต้นๆก็คือเมื่อได้เมล็ดมะค่ามาหรือบางท่านอาจจะสนใจถึงขนาดไปเก็บเมล็ดมะค่าจากใต้ต้นที่ร่วงมาสู่พื้นได้มาไว้ในครอบครองสมใจนึกแล้วจากนี้จะต้องทำอย่างไรต่อไปเพื่อ...เพาะเมล็ดมะค่าโมง และ เพาะเมล็ดมะค่าแต้ ที่มีอยู่ให้งอกขึ้นมาเป็นต้นอ่อนและเจริญเติบโตแข็งแรงพร้อมลงปลูกในสถานที่ต่างๆที่มุ่งหวังได้ต่อไป

จริงๆแล้วทางผู้เขียนเองก็มีความตั้งใจจะจัดทำเทคนิควิธีการ ตามประสบการณ์ส่วนตัวที่ได้ทดลองมาพอสมควรและคิดว่าน่าจะใช้ได้ผลดีระดับหนึ่งเลยทีเดียวเชียวหล่ะมาแชร์ให้ทุกคนที่สนใจใคร่รู้ได้นำไปเป็นแนวทางในการเพาะเมล็ดมะค่าโดยอะเอียดแต่ติดอยู่ตรงที่ว่าตอนนี้คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คนั้นไม่ได้อยู่ติดตัวฝากเอาไว้ที่บ้านน้องชายและคุณแม่ แต่เพื่อไม่ให้เวลามันเนิ่นนานล่วงเลยไปโดยไม่ได้เขียนถึงหัวข้อ การเพาะเมล็ดมะค่าเสียที วันนี้เลยสลัดความขี้เกียจเรียกพลังแห่งการเขียนบทความขึ้นมาอีกคำรบหนึ่งหลังจากที่ไม่ได้เขียนพิมพ์ถ่ายทอดเรื่องราวจากความรู้สึกเสียนาน เป็นที่มาของบทความชุดนี้ที่นำเสนอแนะนำ การเพาะเมล็ดมะค่าโมง เบื้องต้น(ก่อนแล้วกันนะครับ ส่วนมะค่าแต้อย่าเพิ่งน้อยใจคิดว่าอีกไม่นานจะตามมา)

เอาหล่ะครับก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับเมล็ดมะค่าโมงคร่าวๆกันก่อนคิดว่าทุกคนที่สนใจคงเคยเห็นและสัมผัสเมล็ดมะค่าโมงจริงๆมากันบ้างแล้วส่วนถ้าหากใครยังไม่เคยก็ลองๆย้อนกลับไปอ่านบทความและดูรูปภาพประกอบได้ เมล็ดมะค่านั้นเมื่อเค้าผ่านการเจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์ในฝักแล้วก็จะร่วงหล่นสู่พื้นใต้ต้นตามธรรมชาติเป็นไปตามฤดูกาลและช่วงเวลาที่เหมาะสมโดยแต่ละฝักนั้นเราไม่สามารถบอกได้แน่นอนว่าจะมีเมล็ดที่โตสมบูรณ์อยู่ด้านในมากน้อยเท่าไหร่แต่เท่าที่ผมเคยลองๆนับดูเอาฝักใหญ่ๆก็อาจจะมีได้ถึง 8-10 เมล็ดเลยทีเดียว บางฝักทะลุไปถึง 12 เมล็ดก็มีให้เห็นบ้างแต่นานๆที

ฝักมะค่าเมื่อแก่แล้วส่วนใหญ่เค้าจะแตกเปิดปากออกเองตามธรรมชาติและปัจจัยที่ทำให้เมล็ดมะค่าโมงและมะค่าแต้ร่วงหล่นสู่พื้นนั้นมีหลากหลาย อาทิเช่น ลมฝนที่พัดกรรโชกแรงตอนเมฆตั้งเค้าทำให้เมล็ดมะค่าร่วงได้เป็นอย่างดี หรือบางทีขั้วฝักหลังจากโดนแดดโดนฝนนานๆเข้าเค้าก็ร่วงด้วยแรง g แรงโน้มถ่วงของโลกลงมากระแทกพื้นอย่างจังส่งผลให้ฝักแตกกระจายเมล็ดมะค่ากระเด็นกระดอนไปคนละทิศละทาง เพิ่มการกระจายตัวของผืนป่าเป็นแบบนี้ก็มี และไฮไลท์อย่างหนึ่งหากใครเคยเดินไปสำรวจเก็บเมล็ดมะค่าที่ใต้ต้นจะพบเจอกับเหล่ามวลสัตว์ชนิดหนึ่งซึ่งผมคิดว่าเค้าเป็นเพื่อนที่ดีต่อระบบนิเวศทางธรรมชาติและกระบวนการงอกของเมล็ดมะค่าอย่างไม่น่าเชื่อเลย หากไม่มีเค้ากระบวนการงอกตามธรรมชาติของต้นมะค่าอาจจะช้าไปเยอะไม่ทันการหรือไม่ทันฝนก็ได้ เฉลยให้ก็ได้ครับสัตว์ชนิดนี้เค้าคือ....น้องปลวกเรานี่เอง ส่วนจะเกี่ยวข้องอย่างไรขอยกยอดเอาไว้ไปเขียนเป็นบทความเฉพาะเลยเรียกว่ายกให้เป็นพระเอกนางเอก ไฟส่องหน้าสปอร์ตไลท์กันไปเลยดีกว่า

ผ่านมาหลายย่อหน้ายังไม่เข้าเรื่องเสียทีว่าแล้ววิธีการง่ายในการเพาะเมล็ดมะค่าโมง เบื้องต้นเนี่ยทำกันอย่างไร เริ่มเลยละกัน







ขั้นตอนวิธีการเพาะเมล็ดมะค่าโม เบื้องต้น

รวบรวมเมล็ดมะค่าโมง ---> สกัดขั้วพร้อมทำแผลให้ถึงเนื้อใน   โดยต้องระวังไม่ทำให้ต้นอ่อนในเมล็ดเสียหาย---> นำเมล็ดมะค่าที่ทำแผลแล้วแช่น้ำร้อน 70-80 องศาเซลเซียส(ไม่ใช่น้ำเดือด) ---> แช่เมล็ดมะค่าให้ท่วมปล่อยให้น้ำเย็นและไม่ต้องทำอะไรเพิ่มแช่ต่อไปประมาณ 32-40 ชั่วโมง ---> เมื่อเปลือกด้านนอกร่อนดีแล้วนำไปเพาะในถุงเพาะต่อไป ---> ผ่านไปประมาณ 7-10 วันจะเห็นการเปลี่ยนแปลง ต้นมะค่าโมงเริ่มงอก

  1. หลังจากได้เมล็ดมะค่ามาแล้ว บางเมล็ดอาจจะใหม่ยังมีขั้วสีเหลืองๆหรืออาจจะไม่เหลืองเพราะซีดโดนฝนโดนแดดจนกลายเป็นน้ำตาลซีดๆ แสดงว่าผ่านการร่วงจากฝักมานานแล้วถ้าเมล็ดที่เพิ่งแก่ใหม่ๆร่วงไม่นาน ขั้วเมล็ดจะเอี่ยมอ่องสีสันเหลืองอ่อนๆสวย บางเมล็ดอาจจะได้รับการแทะจากน้องปลวกทำให้ขั้วนั้นแหว่ง หรือ ร่อนหลุดไปจากตัวเมล็ดสีน้ำตาลเข้ม เหลือเพียงเมล็ดกลมๆสีน้ำตาลเข้มอย่างเดียว จะเป็นแบบไหนเรารับหมดครับถ้าไม่ลีบหรือดูผอม เมล็ดเต่งตึง ยิ่งอวบใหญ่เท่าไหร่ จัดว่าเป็นเมล็ดพันธุ์ที่สมบูรณ์ดีมีโอกาสงอกเป็นต้นมะค่าได้สูงเราเลือกเอามาไว้ในอ้อมใจเลยครับ
  2. เมื่อได้เมล็ดมะค่ามาแล้ว เราต้องมีเทคนิคในการเร่งกระบวนการงอกโดยวิธีใดๆก็แล้วแต่เพื่อทำให้เกิดรอยแผล(เก่า แต่สำหรับเมล็ดมะค่าเราจะทำแผลสดกัน) อาทิเช่น เจียด้วยเครื่องเจียจิ๋วหรือใหญ่แล้วแต่สะดวก  หรือบางคนบอกไม่มีเครื่องเจียขอใช้ตะไปฝนเอาได้ไหมผมก็คิดว่าได้นะไม่ว่ากันไม่เลือกวิธีการแต่ขอให้งานออกมาเนียนและดูดีตามเป้าประสงค์ของเราถือเป็นใช้ได้ บางท่านอาจจะบอกว่าเล่นไม่ยากใช้วิธีบ้านๆเลยคือใช้มีดพร้าสับกระเทาะตัดขั้วเมล็ดพร้อมทำให้เกิดแผลไปด้วยในคราเดียวกันเลย ซึ่งวิธีนี้ได้ผ่านการทดลองโดยผู้เขียนมาแล้ว แต่แนะนำว่าต้องระมัดระวังเพราะอาจจะไม่ใช่แต่เพียงเมล็ดมะค่าโมงเท่านั้นที่จะเกิดแผล อาจจะรวมถึงนิ้วมือที่ท่านจับเมล็ดด้วยที่จะเป็นแผลครับ สารพันวิธีที่จะทำให้เกิดแผลขึ้น แล้วทำไมต้องทำให้เกิดแผลที่ตัวเมล็ดมะค่าเหตุเพราะว่าเมล็ดมะค่าโมงนั้นด้วยตัวเมล็ดของเค้าด้านนอกจะมีเปลือกหุ้มชั้นนอกสีน้ำตาลเข้มที่เราเห็นหนาและป้องกันความชื้นจากน้ำฝนได้เป็นที่หนึ่งเลยหากเราโยนลงถาดเพาะหรือหมกในถุงเพาะเชื่อเลยว่าผ่านไปหลายเดือนบางทียังไม่สะดุ้งหรือมีทีท่าว่าจะงอกเลยหล่ะครับ จึงเป็นที่มาว่าทำไมเราต้องทำแผลให้เข้าไปถึงเนื้อในเมล็ดมะค่าโมงสีขาวเพื่อให้น้ำซึมผ่านเข้าไปได้เร่งการงอกได้เร็วขึ้นมาก จากหลายเดือนจะเหลือไม่กี่วัน 
  3. การฝนเจีย หรือ กระเทาะ ในการทำแผลให้กับเมล็ดมะค่าโมง เราต้องทำอย่างระมัดระวังโดยต้องไม่ให้ส่วนที่เป็นเอ็มบริโอหรือต้นอ่อนที่อยู่ใกล้บริเวณขั้วเมล็ดนั้นได้รับความเสียหายหรือหลุดร่อนออกไประหว่างที่เราเจียตะไป หรือ ใช้มีดพร้าฟัน นะครับ (แต่ถ้าเฉพาะขั้วเมล็ดสีเหลืองหลุดไม่เป็นไร เพราะไม่กระทบกระเทือนเอ็มบริโอ) เพราะไม่เช่นนั้นก็จบกันเมล็ดนั้นจะไม่งอกเพราะขาดส่วนสำคัญที่เป็นรหัสทางพันธุกรรมที่จะแบ่งเซลล์แทงรากออกมาและงอกเป็นต้นอ่อนนั่นเอง แนะนำให้ใช้เครื่องเจียจิ๋วหรือถ้าไม่มีลองๆไปตามร้านซ่อมมอเตอร์ไซต์หรือซ่อมเครื่องยนต์และฝากให้เค้าช่วยเจียให้แต่อธิบายหรือกำกับไปพร้อมกันว่าเจียเอาพอเป็นแผลเห็นเนื้อในสีขาวและไม่ไปโดนเอ็มบริโอต้นอ่อน แผลไม่ต้องใหญ่มากให้พอไปแช่น้ำแล้วน้ำซึมเข้าได้ดีหล่ะครับ สกัดขั้วสีเหลืองๆออกด้วยจะดีมากเพราะรากเค้าจะแทงออกทางบริเวณนั้น
  4. เมื่อเราผ่านการเจียหรือตะไป หรือ ใช้มีดพร้าสับแบบ(ไม่เสียนิ้วมือไปด้วยนะครับ โฮ๊ะๆๆๆ) ก็มาถึงขึ้นตอนการนำมาเมล็ดมาแช่น้ำ โดยแนะนำหาภาชนะที่จะใช้แช่อาจจะเป็นขวดน้ำดื่ม PET ทั่วไปที่เราซื้อมาดื่มนี่แหละครับ ทำการตัดขั้วออกให้มีลักษณะเป็นแก้วน้ำ หรือใครไม่สะดวกจะใช้แก้ว หม้อ ชาม หรืออะไรก็ได้แต่ให้ใส่น้ำร้อนได้แล้วไม่ละลายเป็นพอ และตรวจดูด้วยว่าไม่มีมดแมลงหรือสัตว์ตัวน้อยอยู่ด้านในเพื่อที่ว่าเราจะได้ไม่สร้างหนี้สินเวรกรรม ไม่งั้นเดี๋ยวโดนน้ำลวกตายกันหมด  ให้นำกาน้ำร้อนเสียบปลั๊กต้มน้ำเสมือนหนึ่งเราอยากชงโอวันติน หรือ กาแฟ ดื่มอย่างไงอย่างงั้นเลยเมื่อน้ำเดือดแล้วก็ทำการใส่เมล็ดลงในกระป๋องที่เราจัดเตรียม(โดยตรวจเช็คแล้วว่าไม่มีน้องมด น้องแมลงใดๆเพื่อไม่ให้เค้าต้องมาเสียชีวิตลงโดยใช่เหตุ) กดน้ำร้อน ไม่ต้องแปลกใจใช่แล้วครับ น้ำร้อนในกาต้มน้ำที่เราเพิ่งถอดปลั๊กไปนั่นแหละครับกดลงไปในแก้วที่มีเมล็ดมะค่าโมงโดยเผื่อให้ท่วมเมล็ดพอประมาณ
  5. หลักจากแช่เมล็ดด้วยน้ำร้อนที่เรากดจากกาต้มน้ำแล้ว โดยน้ำควรท่วมเมล็ดมากหน่อยเพราะเมล็ดมะค่าโมงจะดูดน้ำและพองตัวในเวลาต่อมา พอใส่น้ำร้อนแล้วไม่ต้องทำอะไรเลยครับหากระดาษหรือผ้าหรืออุปกรณ์มาปิดฝาไว้กันมดเมล็ดตกใส่แก้วมะค่าโมง หลังจากนี้เราแค่รอเวลาเท่านั้นเองให้เมล็ดมะค่าเค้าดูดดื่มน้ำไปเรื่อยๆจนหนำใจ ส่วนน้ำก็จะคลายร้อนเป็นน้ำเย็นธรรมดาก็ไม่เป็นไรครับแช่ต่อไป แต่เวลาผ่านไปอาจจะมีกลิ่นตุๆของเมล็ดมะค่าเป็นธรรมดาแนะนำให้วางไว้นอกบ้านหรือที่ที่กลิ่นจะไม่รบกวนเราได้ 
  6. หลังจากผ่านการแช่ข้ามวันข้ามคืนเมล็ดมะค่าโมงจะเริ่มอ้วนจะเริ่มพองโดยเปลือกนอกที่เราเห็นแข็งๆสีน้ำตาลเข้มนั้นจะรับน้ำไปก่อนเป็นอันดับแรกจะเริ่มร่อนยุ่ยเรียกว่าเริ่มระทวยโดยลำดับครับจากการฟิชเจอริ่งกับน้องน้ำเข้าไป รวมทั้งน้ำจะซึมผ่านแผลเข้าสู่เนื้อในไปทำให้เมล็ดด้านในเนื้อสีขาวอิ่มน้ำตามไปด้วยเรียกว่าแทรกซึมไปจนถึงทุกอณูกระตุ้นให้ต้นอ่อนที่หลับอยู่เริ่มตื่นเริ่มกระบวนการงอกขึ้นโดยลำดับ 
  7. แต่เดี๋ยวก่อนการแช่น้ำให้เมล็ดมะค่าโมงนั้นช่วยกระตุ้นการงอกในอัตราที่เร็วขึ้นก็จริงครับแต่ทุกอย่างก็มีสมดุลมากไปน้อยไปก็ส่งผลเสีย เช่นกัน เราควรนำเมล็ดมะค่าแช่น้ำพอประมาณเมื่อสมควรแก่เวลาแล้วผ่านไป 32-40 ชั่วโมง ควรนำขึ้นหรือเทน้ำทิ้งออกให้หมด ทั้งนี้ทั้งนั้นระยะเวลาอาจจะไม่ถึงกับตายตัวครับ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างเอาเป็นว่าให้หมั่นมาตรวจดูว่าเปลือกนอกร่อนดีไหมร่อนครบทั้งเมล็ดหรือยัง แต่เปลือกอาจจะร่อนไม่ครบทั้งเมล็ดก็ไม่เป็นไร หรืออาจจะลองๆหยิบจากน้ำขึ้นมาบีบๆดูว่ามีความอ่อนนุ่มหยุ่นๆมือมากหรือไม่มากน้อยเพียงใดเพราะรับน้ำไปเยอะ ถ้านิ่มมากเกินแสดงว่าควรพอแล้วเพราะเวลาเรานำไปเพาะอาจจะไม่ทันงอกจะเน่าคาถุงเพาะไปเสียก่อนหน่ะซิครับ 
  8. เมื่อเมล็ดมะค่าโมงได้ที่แล้วก็นำไปเพาะในถุงเพาะชำหรือกระบะอะไรก็สุดแล้วแต่เราจะสร้างสรรค์หรือจัดหาได้ขึ้นมาครับ วัสดุเพาะก็ใช้ดินดี ผสมแกลบดิบ ปุ๋ยคอก ประมาณอัตราส่วนเท่าไหร่ก็ได้ครับเน้นให้วัสดุเพาะร่วนซุยระบายน้ำดี หรือ อาจจะเป็นแกลบดำเพียวๆคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาใช้ได้ยังไงลองๆดู แต่อยากให้มีดินและแกลบข้าวแกลบดิบ และปุ๋ย ร่วมด้วยช่วยกันจะดีกว่า 
  9. เท่านี้เราก็จะได้เห็นเมล็ดมะค่าโมงงอกสมใจแล้วครับ หมั่นรดน้ำให้ชื้นแต่อย่าบ่อยดูตามสภาพดินเพาะถ้าชื้นดีอยู่แล้วก็ไม่ต้องรดเพิ่มครับ เพราะว่าเมล็ดนั้นเราแช่น้ำมาพอสมควรถ้ารดน้ำมากไปอาจจะไม่ทันงอกและเค้าจะโดนราและความชื้นเล่นงานจนเน่าคาเมล็ดไปเสียก่อน ผ่านไปสัก 3-5 วันถ้าลองๆสังเกตุดูรากจะแทงสู่ดินในถุงเพาะ ประมาณอาทิตย์หนึ่งเราน่าจะเห็นการเปลี่ยนแปลงแทงรากยาวขึ้นและชูใบอ่อนให้เราขำๆตลกกับการโงหัวขึ้นชูช่อของเมล็ดมะค่าเค้าหล่ะครับ 
  10. สุดท้ายควรเผื่อใจและเผื่อความผิดพลาดว่าเราเพาะเมล็ดมะค่าโมงอาจจะไม่งอกดีทั้งหมดทุกเมล็ด อาจจะเพราะเมล็ดแต่เดิมที่เราได้มาไม่ค่อยสมบูรณ์ หรือเมล็ดเค้าดูดน้ำมากไปเราแช่นานไป เผื่อเปอร์เซนต์ความผิดพลาดไว้ด้วยนะครับ ขอให้โชคดี
คิดว่าบทความนี้น่าจะพอเป็นไกด์ไลน์แนวทางในการลงมือปฏิบัติจริงในการเพาะเมล็ดมะค่าโมงได้พอสมควร มีข้อเสนอแนะติชมอย่างไรคอมเมนท์เอาไว้ท้ายบทความกันได้หวังว่าทุกคนจะมีความสุขในการเพาะเมล็ดมะค่าโมง และร่วมมือกันคนละไม้ละมือเพื่ออนุรักษ์ป่าไม้ธรรมชาติสืบไป

เครดิตรูปภาพ

http://www.kasetporpeang.com/forums/index.php?topic=29782.0
http://www.kasetporpeang.com/forums/index.php?topic=67730.16

3 ความคิดเห็น:

  1. ผมพึ่งจะได้รับเม็ดมะค่าโมงมาจากพี่สกล ครับจะลองเพาะดูครับ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ถ้าอยากได้เพิ่มอีเมลล์มาสอบถามได้นะครับ Cloudatlas0.0@gmail.com
      ช่วงนี้ฝักมะค่าแก่เมล็ดร่วงเต็มใต้ต้นแม่เลยครับ ท่านใดสนใจอ่านรายละเอียดในหน้าเพจแจกเมล็ดมะค่าฟรีอีเมลล์มาคุยกันได้ครับ

      ลบ
  2. สวัสดีครับ ท่านผู้เขียนบล็อค ผมได้ความรู้มากครับ ท่านตั้งใจเขียนละเอียดดีมาก ซึ่งบทความดีๆและละเอียดแบบนี้จะเจอน้อย ผมขออนุญาตินำไปเผยแพร่ต่อนะครับ

    ตอบลบ